โรลันด์ ฟีร์คุส ก้าวลงจากตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬาของโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค

Browse By

การลาออกของบุคคลสำคัญในโครงสร้างบริหารของสโมสรฟุตบอล มักเป็นจุดเปลี่ยนเชิงยุทธศาสตร์ที่สะเทือนทั้งภายในและภายนอกทีม “โรลันด์ ฟีร์คุส” ผู้อำนวยการกีฬาคนสำคัญของสโมสรโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ประกาศก้าวลงจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการ สร้างแรงสะเทือนในวงการบุนเดสลีกาเยอรมนี และเป็นจุดเริ่มต้นของคำถามมากมายเกี่ยวกับอนาคตของ “สิงห์หนุ่ม” ทีมที่เคยโดดเด่นในยุคหนึ่งของลีกสูงสุดเมืองเบียร์ แต่ในช่วงไม่กี่ฤดูกาลที่ผ่านมา กลับเจอกับแรงสั่นสะเทือนทั้งในสนามและนอกสนาม

โรลันด์ ฟีร์คุส เป็นบุคลากรที่อยู่กับมึนเช่นกลัดบัคมาอย่างยาวนาน เขาเริ่มต้นจากการทำงานในระดับเยาวชน ก่อนจะไต่เต้าขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการกีฬาหลังการจากไปของมักซ์ เอเบิร์ล ในปี 2022 ซึ่งในตอนนั้นแฟนบอลหลายคนยอมรับว่าเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ เพราะเอเบิร์ลคือหนึ่งในมันสมองของสโมสรที่พา “สิงห์หนุ่ม” กลับมาสู่เวทีฟุตบอลยุโรปอีกครั้งในช่วงปลายยุค 2010 การเข้ามาของฟีร์คุสจึงเหมือนการต้องแบกรับภาระและความคาดหวังมหาศาล เขามีหน้าที่ไม่เพียงแค่จัดการด้านกีฬา แต่ต้องดูแลนโยบายการเสริมทัพ การพัฒนาเยาวชน และความยั่งยืนทางการเงินของทีมในยุคที่บุนเดสลีกามีการแข่งขันสูงสุดในรอบทศวรรษ

แม้ฟีร์คุสจะพยายามอย่างเต็มที่ในการสานต่อผลงานของทีม แต่ต้องยอมรับว่าเส้นทางของกลัดบัคในช่วงหลังไม่ราบรื่นเท่าใดนัก การสูญเสียนักเตะหลักหลายราย เช่น มาร์คุส ตูราม, ยาน ซอมเมอร์, และลาร์ส สตินเดิล ส่งผลให้ทีมขาดเสถียรภาพอย่างหนัก การเสริมทัพภายใต้ข้อจำกัดทางงบประมาณทำให้เขาต้องเลือกใช้นโยบาย “พัฒนาแทนการซื้อ” ซึ่งแม้จะถูกยกย่องว่าเป็นแนวคิดที่ยั่งยืน แต่ในโลกฟุตบอลปัจจุบันที่ทีมคู่แข่งพร้อมทุ่มงบมหาศาลเพื่อตามล่าความสำเร็จ แนวทางนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม บางคนชื่นชมว่าเขา “รักษาจิตวิญญาณของสโมสร” แต่บางฝ่ายกลับมองว่า “ขาดความทะเยอทะยาน” ที่จะยกระดับทีมให้กลับไปสู่กลุ่มหัวตาราง

สื่อเยอรมันรายงานว่าการตัดสินใจลาออกของฟีร์คุสเกิดจากการพูดคุยร่วมกับบอร์ดบริหาร โดยเจ้าตัวมองว่าได้ทำภารกิจของตนถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และต้องการเปิดทางให้คนรุ่นใหม่เข้ามาขับเคลื่อนโครงการระยะยาวของสโมสร เขากล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำงานกับโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค สโมสรที่ผมรัก แต่ถึงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนแปลง สโมสรต้องเดินหน้าต่อ และผมจะยังคงเป็นแฟนบอลของทีมเสมอ” คำกล่าวของเขาถูกแฟนบอลและอดีตผู้เล่นของสโมสรตีความในหลายมุม บ้างมองว่าเป็นการแสดงออกถึงความซื่อสัตย์และถ่อมตัว ขณะที่อีกมุมหนึ่งมองว่าการก้าวลงในเวลานี้อาจเกิดจากแรงกดดันภายในหลังทีมไม่สามารถสร้างผลงานที่สม่ำเสมอในช่วงต้นฤดูกาล 2025–26

ในระหว่างที่ฟีร์คุสดำรงตำแหน่ง เขามีบทบาทสำคัญในการผลักดันโครงการเยาวชนของกลัดบัค ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของสโมสรมาโดยตลอด เขาให้ความสำคัญกับการสร้างทีมจากฐานภายใน โดยเปิดโอกาสให้ดาวรุ่งหลายราย เช่น ฟลอเรียน นอยเฮาส์, ลูคัส เน็ตซ์ และโยนาส อูเวล ขึ้นมามีบทบาทในทีมชุดใหญ่ นอกจากนี้ยังผลักดันการพัฒนาโครงสร้างสนามซ้อมและทีมสตาฟฟ์โค้ชให้ทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้กลัดบัคสามารถแข่งขันกับทีมระดับหัวตารางได้ในระยะยาว แนวทางดังกล่าวคล้ายกับโมเดลของหลายสโมสรที่เน้นพัฒนาทรัพยากรภายใน เช่น อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม หรือไฟร์บวร์ก ซึ่งแม้จะไม่ใช่แนวทางที่สร้างผลลัพธ์ฉับพลัน แต่เป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่ฟีร์คุสต้องเผชิญไม่ได้มีเพียงด้านกีฬา แต่รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางธุรกิจฟุตบอลเยอรมนีด้วย การที่สโมสรขนาดกลางอย่างกลัดบัคไม่สามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่างบาเยิร์น มิวนิค, ดอร์ทมุนด์ หรือแม้กระทั่งอาร์เบ ไลป์ซิก ในเชิงการเงิน ทำให้เขาต้องเลือกนโยบายระมัดระวัง และนี่เองคือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทีมไม่สามารถรั้งผู้เล่นหลักได้ครบถ้วน การตัดสินใจขายนักเตะบางรายเพื่อนำเงินมาหมุนเวียน ถูกมองว่าเป็นการ “รักษาสมดุล” มากกว่าการ “ผลักดันสู่ความสำเร็จ” จนในที่สุดแรงกดดันจากผลงานและเสียงเรียกร้องจากแฟนบอลให้มีการเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเพิ่มขึ้น

เมื่อพิจารณาในเชิงภาพรวม การลาออกของฟีร์คุสจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ แต่เป็นผลลัพธ์ของปัจจัยสะสม ทั้งจากสภาพแวดล้อมการแข่งขัน ความคาดหวังของแฟนบอล และแรงกดดันทางการเงินของสโมสร ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมในวงการฟุตบอลยุโรปที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ในยุคที่ทุนและความยั่งยืนต้องเดินคู่กัน ฟีร์คุสอาจเป็นตัวอย่างของผู้บริหารที่เลือก “ความมั่นคง” มากกว่า “การเสี่ยง” แต่ในโลกที่ผลลัพธ์และแรงกดดันเป็นทุกสิ่ง การตัดสินใจนี้อาจไม่เพียงพอ

หลังประกาศลาออก สโมสรโบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ได้ออกแถลงการณ์ขอบคุณฟีร์คุสสำหรับความทุ่มเทและความมุ่งมั่นในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่ง โดยยกย่องว่าเขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเยาวชนและรักษาเสถียรภาพทางการเงินในช่วงเวลาที่ฟุตบอลเยอรมนีเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก ผู้บริหารของสโมสรกล่าวว่า “โรลันด์มีความเข้าใจในดีเอ็นเอของกลัดบัคอย่างลึกซึ้ง เขาไม่เคยย่อท้อต่อความท้าทาย และเราขออวยพรให้เขาประสบความสำเร็จในเส้นทางต่อไป” ซึ่งจากถ้อยคำดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ยังคงดี แม้จะสิ้นสุดในเชิงตำแหน่ง

ในมุมของแฟนบอล หลายคนรู้สึกเศร้าและเสียดาย เพราะฟีร์คุสถูกมองว่าเป็น “ลูกหม้อแท้” ของสโมสร เขาไม่ใช่คนที่มาจากภายนอก แต่เติบโตขึ้นจากระบบภายใน และมีความเข้าใจในวัฒนธรรมทีมอย่างลึกซึ้ง การสูญเสียบุคลากรเช่นนี้จึงไม่ต่างจากการสูญเสียหัวใจสำคัญขององค์กร บางคนถึงขั้นเปรียบว่า “การจากไปของฟีร์คุส คือสัญญาณของการเริ่มต้นยุคใหม่ ที่อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” และในวงการฟุตบอลเยอรมัน การเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งผู้อำนวยการกีฬามักส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งโครงสร้างสโมสรและแนวทางการทำทีม

ในเชิงกลยุทธ์ การหาคนมาทดแทนฟีร์คุสไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบทบาทผู้อำนวยการกีฬาของกลัดบัคต้องครอบคลุมทั้งด้านการวางแผนระยะยาว การคัดเลือกนักเตะ และการประสานงานกับทีมโค้ช หากเลือกบุคคลที่ไม่มีความเข้าใจในระบบของสโมสร อาจทำให้กระบวนการทั้งหมดสะดุดและสูญเสียทิศทาง ปัจจุบันสื่อเยอรมันระบุว่าบอร์ดบริหารกำลังพิจารณาทั้งตัวเลือกภายในและภายนอก เช่น การดึงอดีตผู้เล่นหรืออดีตผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในบุนเดสลีกามารับช่วงต่อ ทั้งนี้ยังไม่มีการประกาศชื่อชัดเจน แต่เชื่อว่าการแต่งตั้งจะเกิดขึ้นภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้ทีมมีความต่อเนื่องในการวางแผนตลาดนักเตะช่วงเดือนมกราคม

สิ่งหนึ่งที่ควรเน้นคือ การลาออกของฟีร์คุสเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สโมสรอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านด้านผลงานในสนาม หลังจากออกสตาร์ตฤดูกาลได้ไม่คงเส้นคงวา ทีมอยู่ในอันดับกลางตาราง และมีปัญหาเรื่องการปิดเกมและแนวรับที่ยังไม่แน่นหนาเพียงพอ เสียงวิจารณ์จากแฟนบอลเริ่มดังขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ลงทุนมากกว่าอย่างไลป์ซิกหรือเลเวอร์คูเซ่น แต่กลับสร้างผลงานที่สม่ำเสมอ ฟีร์คุสจึงถูกมองว่าต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่ง แม้จะไม่ใช่ต้นเหตุโดยตรงของความล้มเหลวในสนาม

ในมิติของสื่อเยอรมัน การจากไปของเขาถูกวิเคราะห์ว่าเป็น “การเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น” เพื่อให้กลัดบัคกลับมามีพลังขับเคลื่อนใหม่ นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าการปรับโครงสร้างบริหารอาจเป็นประโยชน์ต่อทีมในระยะยาว โดยเฉพาะหากสโมสรสามารถดึงผู้บริหารที่มีแนวคิดทันสมัย และมองเห็นแนวทางการสร้างทีมที่สอดคล้องกับฟุตบอลยุคใหม่ บางส่วนของบทวิเคราะห์ยังกล่าวถึงว่าการเปลี่ยนผู้อำนวยการกีฬาบางครั้งอาจกลายเป็น “จุดเริ่มต้นของยุคฟื้นฟู” เช่นเดียวกับที่เลเวอร์คูเซ่นเคยทำเมื่อเปลี่ยนทีมบริหารแล้วกลายเป็นสโมสรชั้นนำในเวลาไม่ถึงสามปี

ในมุมของฟีร์คุสเอง เขายังคงเป็นที่เคารพในวงการฟุตบอลเยอรมนี ไม่ว่าจะด้วยความซื่อสัตย์หรือความเข้าใจในระบบเยาวชนเยอรมัน หลายคนเชื่อว่าเขาจะยังมีบทบาทในวงการต่อไป บางรายงานระบุว่าเขาได้รับการทาบทามจากสโมสรในระดับ 2.บุนเดสลีกา ให้เข้ามาช่วยสร้างระบบเยาวชนและวางแผนด้านเทคนิค ซึ่งสะท้อนถึงความไว้วางใจในความสามารถของเขา แม้จะอำลาตำแหน่งในกลัดบัค แต่ชื่อของฟีร์คุสยังคงอยู่ในสารบบของผู้บริหารที่เข้าใจโครงสร้างฟุตบอลเชิงลึก

ในบริบทของแฟนบอลไทย การติดตามข่าวสารวงการบุนเดสลีกาอาจไม่ได้ใกล้ชิดเท่าพรีเมียร์ลีก แต่กลัดบัคถือเป็นทีมที่มีแฟนคลับเฉพาะกลุ่ม เพราะมีเอกลักษณ์ในการเล่นฟุตบอลเกมรุกและพัฒนาเยาวชนอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงระดับผู้บริหารครั้งนี้จึงมีผลต่อมุมมองของแฟนบอลทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย บางคนถึงขั้นนำมาเปรียบเปรยกับแนวทางการบริหารทีมฟุตบอลสมัยใหม่ ว่าความยั่งยืนต้องสมดุลกับผลลัพธ์ และหากสมดุลนี้ไม่ถูกต้อง สโมสรอาจต้องจ่าย “ค่าเรียนรู้” แพงไม่ต่างจากการลงทุนในตลาดเสี่ยง อย่างที่ผู้คนในวงการเดิมพันกีฬามักจะพูดถึง คาสิโน ufabet เว็บตรง ครบทุกเกมเดิมพัน ว่าการตัดสินใจต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและการวิเคราะห์ ไม่ใช่แค่ความเชื่อหรือโชคชะตา เพราะทุกการเดิมพัน—ไม่ว่าจะในสนามฟุตบอลหรือในตลาดการบริหาร—ต่างมีผลตอบแทนและความเสี่ยงควบคู่กันเสมอ

เมื่อมองย้อนกลับไปในผลงานของฟีร์คุส หลายอย่างไม่อาจเรียกว่า “ล้มเหลว” ได้ทั้งหมด เขาเป็นผู้บริหารที่รักษาสมดุลทางการเงินในยุคที่ทีมรายได้ลดลงจากการระบาดของโควิด-19 และยังคงสามารถสร้างรายได้จากการขายผู้เล่นได้อย่างเหมาะสม ระบบสเกาต์ของทีมยังคงมีประสิทธิภาพ และในบางฤดูกาล กลัดบัคก็ยังสามารถทำผลงานได้ดีเหนือความคาดหมาย เช่น การเอาชนะทีมใหญ่อย่างบาเยิร์น มิวนิค หรือดอร์ทมุนด์ ในบ้านของตน ซึ่งสะท้อนว่าโครงสร้างพื้นฐานของทีมยังแข็งแรง เพียงแต่ขาดความต่อเนื่องเท่านั้น

ในช่วงท้ายของการดำรงตำแหน่ง ฟีร์คุสยังพยายามวางรากฐานใหม่ให้กับโครงสร้างฝ่ายเทคนิค โดยเพิ่มบทบาทของฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลและวิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อให้การตัดสินใจในการซื้อนักเตะและวางแผนเกมมีความแม่นยำมากขึ้น แนวคิดนี้สอดคล้องกับแนวทางของสโมสรยุคใหม่ในยุโรป ที่ใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน เช่นเดียวกับทีมในพรีเมียร์ลีกหรือเซเรีย อา แต่ปัญหาคือการนำแนวคิดมาปรับใช้ในระบบที่มีข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากร อาจต้องใช้เวลา ซึ่งเขาอาจไม่มีเวลาพอที่จะเห็นผลลัพธ์ในยุคของตน ทางเข้า ufabet ออโต้ เข้าเร็วไม่สะดุด